วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

6 อาหาร ช่วยฟื้นฟู กล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย อย่างได้ผล


การฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้กลับมามีประสิทธิภาพ และยังเป็นการเตรียมกล้ามเนื้อให้แข็งแรงสำหรับการออกกำลังกายในครั้งต่อไปได้ด้วย เพราะหากกล้ามเนื้อไม่แข็งแรงก็ย่อมส่งผลทำให้การออกกำลังกายในครั้งต่อไปเป็นไปอย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ

แถมยังมีผลให้การลดน้ำหนักไม่เป็นผลสำเร็จอีกด้วย และสำหรับวิธีการฟื้นฟูกล้ามเนื้อหลักๆ ก็คือการกินอาหารที่มีโปรตีนอันเต็มเปี่ยม ว่าแต่อาหารเหล่านั้นจะมีอะไรบ้าง วันนี้เรามีมาฝากสาวๆ กันแล้วค่ะ



1.กล้วย
โพแทสเซียมและคาร์โบไฮเดรตที่อยู่ในกล้วยนั้น เป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นสำหรับผู้ที่ออกกำลังกายอย่างมาก เนื่องจากจะช่วยเติมเต็มคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายสูญเสียในขณะที่ออกกำลังกาย และยังช่วยเติมโพแทสเซียมที่ร่างกายสูญเสียไปพร้อมกับเหงื่อได้อีกด้วย

2.บลูเบอร์รี่
บลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต ซึ่งเป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการอย่างมาก นอกจากนี้แล้วบลูเบอร์รี่ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระและเซอร์ทูอิน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยชะลอวัยให้แก่ผิวได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้กลับมามีประสิทธิภาพได้เช่นเดิม

3.ข้าวโอ๊ต
อย่างที่เราทราบกันดีว่าการทานข้าวโอ๊ตมีส่วนช่วยให้เรามีอายุยืนได้ถึง 9% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ทานข้าวโอ๊ต อีกทั้งข้าวโอ๊ตยังเป็นอาหารที่มีส่วนช่วยในการฟื้นฟูกล้ามเนื้อได้ดี เพราะจะช่วยเติมเต็มพลังงานที่เสียไปกับการออกกำลังกายนั่นเอง

4.เมล็ดเจีย
แร่ธาตุ แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก โปรตีน และกรดอะมิโนที่จำเป็น 9 ชนิด ที่อุดมอยู่ในเมล็ดเจียนั้น ล้วนเป็นสารที่มีส่วนช่วยในการฟื้นฟูกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกายเป็นอย่างดี ซึ่งการทานเมล็ดเจียสามารถนำมาทานคู่กับโยเกิร์ตหรือสมูทตี้ก็ได้ หรือจะทานเล่นคู่กับผลไม้สดก็น่าสนใจเช่นกัน

5.ปวยเล้ง
ในปวยเล้งอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบี และวิตามินซี ซึ่งการทานน้ำปวยเล้งในปริมาณ 1 แก้ว จะเทียบได้เท่ากับการเติมโปรตีนให้ร่างกายได้ถึง 5 กรัมเลยนั่นเอง อีกทั้งปวยเล้งยังมีสารอาหารที่จำเป็นต่อการช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อได้พร้อมกันอีกด้วย

6.ชาเขียว
สารสกัดจากชาเขียวอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและโพลีฟีนอล ซึ่งเป็นสารที่มีส่วนช่วยควบคุมความเสียหายที่เกิดจากการออกซิเดชั่นในระหว่างการออกกำลังกาย และการดื่มสารสกัดจากชาเขียวในปริมาณ 600 มิลลิกรัมนั้น ย่อมช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกายได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

How to จัดการตัวเองในวันที่ “ตื่นสาย” ไปทำงาน

วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

How to จัดการตัวเองในวันที่ “ตื่นสาย” ไปทำงาน

การนอนตื่นสาย เป็นเรื่องธรรมดาที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคน หากเป็นวันหยุดก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นวันทำงานแล้วล่ะก็…เป็นเรื่องใหญ่แน่นอน

ในเมื่อการนอนตื่นสายในวันทำงานเป็นเหตุสุดวิสัยที่คงไม่มีใครอยากให้เกิด เลยมีทริคเล็ก ๆ ในการจัดการตัวเองในวันที่คุณนอนตื่นสาย แต่ก็ต้องพยายามไปทำงานให้ทันมาฝากกัน



1. ตั้งสติก่อน
รู้อยู่ว่าการสะดุ้งเด้งสุดตัวจากเตียงราวกับฝันว่าตกตึก 7 ชั้น เพราะรู้ตัวว่าสายแล้วนั้นมันทำให้สติแตกขนาดไหน แต่การจะแก้ปัญหาภายใต้เวลาที่จำกัด สิ่งแรกที่ต้องมีคือ “สติ” เรียกสติตัวเอง แล้วพยายามจัดการความคิดตัวเองให้เร็วที่สุดว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง เพื่อให้สามารถทำทุกอย่างได้ทันเวลา

2. ประเมินเวลา
ในกรณีที่ตื่นสาย เวลาทุกอย่างจะรวนไปหมดแม้ว่าจะแค่ 5-10 นาทีก็ตาม ดังนั้น การประเมินเวลา ตั้งแต่การจัดการตัวเองไปจนถึงเวลาที่ใช้เดินทาง (อย่าลืมว่าเวลาที่ออกจากบ้านเกี่ยวข้องกับสภาพจราจร) จะทำให้เรารู้ว่ายังมีโอกาสที่จะไปทันหรือไม่ ถ้ายังพอมีเวลาก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้าไม่รอดแน่ ๆ จะได้เตรียมขั้นตอนต่อไป

3. ทำกิจวัตรทุกอย่างให้เสร็จโดยเร็ว
ถ้าเป็นกิจวัตรที่จำเป็นต้องทำจริง ๆ ก็ต้องเร่งสปีดแบบความเร็วแสง ยอมออกจากบ้านแบบไม่เพอร์เฟคสักวัน (แต่อย่าถึงขั้นหน้าไม่ล้างฟันไม่แปรง) เพื่อแลกกับการไม่ต้องถูกหักเงินมาสาย หักเบี้ยขยัน เข้าประชุมไม่ทัน ไปเจอลูกค้าช้า เพราะจะทำให้เสียความน่าเชื่อถือ และการไม่ตรงต่อเวลา


4. ยอมจ่ายแพงกว่า
การยอมจ่ายเงินค่าเดินทางที่แพงขึ้นเพื่อให้ไปได้ทันเวลา จากที่เคยโหนรถเมล์ชิล ๆ ก็ต้องเปลี่ยนไปใช้รถไฟฟ้า จากที่เคยเดินได้เรื่อย ๆ ก็ต้องพึ่งพี่วินมอเตอร์ไซค์แทน อันที่จริง การถูกหักเงินอาจไม่ใช่ปัญหาสำหรับใครบางคน แต่ปัญหาใหญ่ คือเรื่องของความน่าเชื่อถือ และการเป็นคนไม่รักษาเวลามากกว่า

5. โทรแจ้งเจ้านาย
ในกรณีที่ไม่ว่าจะทำด้วยวิธีไหนก็ไม่สามารถจะไปได้ทัน ไม่ทันแน่ ๆ ขั้นตอนสุดท้ายคือ ให้โทรแจ้งเจ้านายว่าเป็นเหตุสุดวิสัยจะไปถึงที่ทำงานสาย ถ้าเจ้านายไม่ถาม อาจไม่จำเป็นต้องบอกว่าสายเพราะตื่นสาย แต่อย่าโกหกด้วยเหตุผลอื่น มันจะบ่งบอกถึงคุณไม่มีความรับผิดชอบ

6. ตรวจสอบหาสาเหตุ
สิ่งที่ควรทำหลังจากนั้นคือตรวจสอบสาเหตุ ว่าที่ตื่นสายนี้เป็นเพราะอะไร เพราะนาฬิกาไม่ปลุก หรือปลุกแล้วไม่ได้ยิน หรือเราเหนื่อยเกินไปจนหลับลึกจนลุกไม่ไหว การตรวจหาสาเหตุก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก เพราะคงไม่ใช่เรื่องสนุกแน่ หากต้องวิ่งหน้าตาตื่นไปทำงานแบบนี้ทุกวัน

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ทำอย่างไร ให้มีความสุข ในการทำงาน

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

ทำอย่างไร ให้มีความสุข ในการทำงาน

วันนี้เรามาแชร์เทคนิค ทำอย่างไร ให้มีความสุข ในการทำงาน ที่เพื่อนๆสามารถทำได้เองโดยไม่ต้องพึ่งใคร ไปดูกันเลยว่าจะมีวิธีไหนบ้างนะคะ



1. ปัญหาส่วนตัวทิ้งไว้ที่บ้าน

เมื่อคุณมีเรื่องครุ่นคิดเกี่ยวกับครอบครัวหรือเรื่องส่วนตัวอื่น ๆ คุณจะไม่มีความสุขในการทำงานและไม่สามารถจดจ่อกับงานได้ เพราะฉะนั้น ควรทิ้งเรื่องส่วนตัวไว้ที่บ้านแล้วสนุกกับงานตรงหน้า ให้เหมือนกับทิ้งเรื่องงานไว้ที่ออฟฟิศและมีความสุขกับครอบครัวในวันหยุด แล้วคุณจะมีความสุขในทุก ๆ วันทำงานของคุณ

2.สร้างพื้นที่ผ่อนคลายส่วนตัว 

คุณใช้เวลาในที่ทำงานอย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อวัน มากกว่าเวลานอนเสียอีก แต่ก็ไม่ใช่ว่าในขณะที่คุณทำงานจะมีแต่ความตึงเครียดเท่านั้น คุณสามารถสร้างบรรยากาศผ่อนคลายได้ด้วยตัวเองง่าย ๆ เช่น ตกแต่งพื้นที่ส่วนตัวในที่ทำงานของคุณจัดโต๊ะทำงานให้รู้สึกสบายและผ่อนคลายที่สุดเท่าที่จะทำได้ และไม่ขัดต่อกฎระเบียบของบริษัท เพียงเท่านี้คุณก็มีอารมณ์ในการทำงานมากขึ้นแล้ว

3.เพื่อนคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ 

เพื่อนในที่ทำงานที่มีไลฟ์สไตล์หรือภูมิหลังคล้ายคลึงกับคุณช่วยแบ่งเบาความเครียดได้ไม่น้อยในยามที่คุณอยากระบายให้ใครสักคนฟัง แม้บางปัญหาเพื่อนแทบจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย แต่อย่างน้อยก็ยังมีคนที่เข้าใจ คอยรับฟังเรื่องราว และเป็นกำลังใจให้คุณเสมอ

4.กินดีสุขภาพดี 

กินอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่มากพอ ให้พลังงานแก่ร่างกาย เติมความสดชื่น และเพิ่มพลังความคิดในการทำงาน เมื่อสุขภาพดีก็ไม่เป็นอุปสรรคในการทำงาน เกิดความคิดดี ๆ ในการทำงาน ผลงานก็ออกมาดีตามไปด้วย

5.จัดระเบียบการทำงาน 

ควรจัดสรรเวลาในการทำงาน จัดระเบียบตัวเองให้ดี อย่าให้เกิดภาวะงานล้นมือ ทำไม่ทัน ก่อความเครียด และสุดท้ายผลงานออกมาไม่ดี ถ้าคุณสามารถควบคุมมันได้ คุณจะไม่รู้สึกเบื่องาน ทั้งยังมีความมั่นใจ และมีแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น

6.เคลื่อนไหว เดินไปมาบ้าง 

การนั่งทำงานในออฟฟิศของคนส่วนใหญ่คือการนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ร่างกายจึงต้องการการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ ไม่อย่างนั้นจะเคล็ด ขัด ยอก เมื่อย ปวดหลัง ปวดคอ บ่า ไหล่ เป็นโรคออฟฟิศซินโดรม ควรเปลี่ยนอิริยาบถให้เลือดลมเดินสะดวก ส่งเลือดขึ้นไปส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างทั่วถึงโดยเฉพาะสมอง

7.อย่าพยายามเปลี่ยนเพื่อนร่วมงาน 

จำไว้ว่าคุณไม่สามารถเปลี่ยนคนอื่นได้ แต่คุณสามารถเปลี่ยนวิธีการตอบสนองที่คุณมีต่อพวกเขาได้ อย่าให้การกระทำของคนอื่นมีผลต่อตัวคุณ ยังมีทางออกอื่นในการแก้ไขปัญหา การหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญกับสถานการณ์ที่จะทำให้คุณไม่สบายใจ จะช่วยให้จิตใจคุณแจ่มใสขึ้น

8.ให้รางวัลตัวเอง 

การให้รางวัลตัวเองเป็นความสุขที่สร้างได้ง่ายมาก เวลาที่คุณตั้งเป้าว่าจะต้องทำอะไรบางอย่างให้สำเร็จ และเมื่อคุณทำได้ตามนั้นจริง ๆ ก็ควรให้รางวัลตัวเองด้วย อาจจะไปดูหนัง ช้อปปิ้ง กินข้าวกับเพื่อน เข้าสปา หรืออะไรก็ตามที่คุณชอบ การเติมความสุขให้ชีวิตส่งผลต่ออารมณ์ที่ดีในการทำงาน

9.ความสุขในการทำงานมองโลกแง่บวก 

จริง ๆ แล้วสุขหรือทุกข์ล้วนอยู่ที่มุมมองของคุณ หากคุณมองสิ่งต่าง ๆ เป็นบวกชีวิตก็จะมีความสุขและสนุกกับงานได้ไม่ยาก บอกตัวเองว่า วันนี้ฉันจะตั้งใจทำงานที่ฉันรัก ย่อมสร้างกำลังใจได้ดีกว่าพูดว่า ทุกวันก็มีแต่งานเดิม ๆ ซ้ำ ๆ น่าเบื่อ ซึ่งจะทำให้คุณยิ่งเบื่องานของคุณมากกว่าเดิม

10.กล่าวคำทักทายตอนเช้า 

จะดีแค่ไหนถ้าคุณเริ่มต้นวันด้วยการกล่าวทักทายทุกคนที่ออฟฟิศด้วยรอยยิ้ม แล้วได้รับคำทักทายพร้อมรอยยิ้มกลับมาเช่นกัน เห็นไหมว่า ความสุขเกิดขึ้นได้แม้เพียงสิ่งเล็กน้อยเท่านี้เอง

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เราควรใช้เวลา "อาบน้ำ แปรงฟัน สระผม" นานแค่ไหน?