วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2563

กฎเหล็กของ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่โดนแหกไปเป็นที่เรียบร้อย

 1 ในกฎเหล็กของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่ทุกคนต้องทำตามสมัยเขายังเป็นนายใหญ่แห่งถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ซึ่งนั่นก็หมายถึงว่าจะไม่มีผู้เล่นคนใดได้รับค่าจ้างมากไปกว่าตัวเขาที่เป็นเสมือนหัวหน้าด้วยอีกเช่นกัน

ย้อนกลับไปในปี 2010 เวย์น รูนีย์ ซูเปอร์สตาร์ของทีมเคยเรียกร้องค่าเหนื่อยจากบอร์ดถึง 250,000 ปอนด์ ซึ่งจะทำให้เขาได้รับค่าจ้างมากกว่าเฟอร์กี้เสียอีก โดยก่อนที่บอร์ดจะตัดสินใจอะไรก็ได้มีการนำเรื่องมาปรึกษาบรมกุนซือขรัวเฒ่า ก่อนที่ "ป๋า" เองก็จะได้รับการเพิ่มค่าเหนื่อยไปอีกเท่านึงด้วยเช่นกัน พร้อมกับมีการตั้งกฎเหล็กที่ว่า "จะไม่มีผู้เล่นคนไหนสมควรได้รับค่าจ้างมากไปกว่าเขา" นี่คือส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่เฟอร์กูสันเผยเอาไว้ในหนังสือที่ถูกตีพิมพ์เมื่อปี 2015 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และทักษะในการจัดการลูกน้องที่เหนือกว่าผู้ใด

ทว่าในปัจจุบัน กฎนี้ก็ได้ถูกแหกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว.. หรือว่ากันตามตรงมันถูกแหกไปนานตั้งแต่ก่อนยุค โอเล กุนนาร์ โซลชา เสียอีก แต่เรายิ่งเห็นได้ชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่งขึ้นเมื่อได้มีการเปิดเผยข้อมูลออกมาว่าในสัญญาฉบับปัจจุบันนายใหญ่ชาวนอร์เวย์ได้รับค่าจ้างอยู่ที่ 177,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ซึ่งอาจจะดูสูงทีเดียว แต่เมื่อนำไปเทียบกับเหล่าผู้เล่นภายใต้การบัญชาของเขาแล้วก็ยังถือว่าไม่เท่าไหร่



ติดตามข่าวกีฬาเพิ่มเติม >> https://bulahdelahevents.com/ | http://banknegar.com/

วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2563

เอเยนต์โอบาฯ โพสต์เชิงเหน็บ อาร์เตต้า

 ควากู เมนซาห์ เอเยนต์ของ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง กองหน้ากัปตันทีม อาร์เซน่อล ยอดสโมสรแห่งวงการ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ โพสต์ภาพและข้อความราวกับว่าจะตำหนิแท็กติกของ มิเกล อาร์เตต้า ผู้จัดการทีมชาวสแปนิช

ก่อนที่ฤดูกาลนี้จะเริ่มขึ้นนั้น โอบาเมยอง มีผลงานที่สุดยอดด้วยการยิงให้ อาร์เซน่อล ไปถึง 70 ประตู จากการลงเล่น 109 นัดในทุกรายการ นับตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่กับทีมเมื่อช่วงเดือนมกราคม ปี 2018 ซึ่งเขาก็เพิ่งเซ็นสัญญาฉบับใหม่กับทีมไปเมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยสัญญาฉบับนี้มีผลจนถึงช่วงซัมเมอร์ ปี 2023 และมันก็ทำให้เขาได้ค่าเหนื่อยถึง 350,000 ปอนด์ (ประมาณ 14 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์

อย่างไรก็ตาม ซีซั่นนี้ดาวเตะชาวกาบองกลับโชว์ฟอร์มได้น่าผิดหวังเมื่อยิงไปเพียง 4 ประตูจากการลงเล่นในทุกรายการ 13 นัด ซึ่งเรื่องดังกล่าวทำให้ที่ผ่านมา โอบาเมยอง โดนตำหนิอย่างหนัก โดยบางคนถึงขั้นบอกว่าเขาหมดแรงจูงใจในการเล่นเพราะได้ต่อสัญญากับทีมไปแล้วด้วย



ติดตาม >> http://perfect-cash.net/  | http://leschatsdelimeil.com/

วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2563

เบิร์นลี่ย์ เฝ้ารังเจ๊า เอฟเวอร์ตัน 1-1

 การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ 2020/21 เบิร์นลี่ย์ รองบ๊วยของตาราง เปิดสนามเทิร์ฟ มัวร์ รับการมาเยือนของ เอฟเวอร์ตัน ทีมอันดับ 8


วันนี้เจ้าถิ่นใช้แผน 4-4-2 แอชลีย์ เวสต์วูด ตัดเกมแดนกลาง คริส วูด กับ เจบ์ โรดริเกวซ เป็นความหวังในแดนหน้า ด้านทีมเยือนมาในระบบ 3-4-3 แนวรุกนำมาโดย ริชาร์ลิซอน, ฮาเมส โรดริเกวซ และ โดมินิค คัลเวิร์ต-เลวิน


ผลการแข่งขันปรากฏว่า ทั้งสองทีมเสมอกันไปอย่างสนุก 1-1 ทอฟฟี่สีน้ำเงินได้ประตูจาก โดมินิค คัลเวิร์ต-เลวิน นาทีที่ 45+3 ส่วนเจ้าบ้านขึ้นนำก่อนจาก โรเบิร์ต เบรดี ตั้งแต่นาทีที่ 3


จากการแบ่งแต้มนัดนี้ ทำให้ เบิร์นลี่ย์ มีเพิ่มเป็น 6 คะแนน จาก 10 นัด ส่วน เอฟเวอร์ตัน มี 17 คะแนน จาก 11 นัด



ติดตาม >> http://leschatsdelimeil.com/

>> http://perfect-cash.net/

วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

6 อาหาร ช่วยฟื้นฟู กล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย อย่างได้ผล


การฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้กลับมามีประสิทธิภาพ และยังเป็นการเตรียมกล้ามเนื้อให้แข็งแรงสำหรับการออกกำลังกายในครั้งต่อไปได้ด้วย เพราะหากกล้ามเนื้อไม่แข็งแรงก็ย่อมส่งผลทำให้การออกกำลังกายในครั้งต่อไปเป็นไปอย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ

แถมยังมีผลให้การลดน้ำหนักไม่เป็นผลสำเร็จอีกด้วย และสำหรับวิธีการฟื้นฟูกล้ามเนื้อหลักๆ ก็คือการกินอาหารที่มีโปรตีนอันเต็มเปี่ยม ว่าแต่อาหารเหล่านั้นจะมีอะไรบ้าง วันนี้เรามีมาฝากสาวๆ กันแล้วค่ะ



1.กล้วย
โพแทสเซียมและคาร์โบไฮเดรตที่อยู่ในกล้วยนั้น เป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นสำหรับผู้ที่ออกกำลังกายอย่างมาก เนื่องจากจะช่วยเติมเต็มคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายสูญเสียในขณะที่ออกกำลังกาย และยังช่วยเติมโพแทสเซียมที่ร่างกายสูญเสียไปพร้อมกับเหงื่อได้อีกด้วย

2.บลูเบอร์รี่
บลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต ซึ่งเป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการอย่างมาก นอกจากนี้แล้วบลูเบอร์รี่ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระและเซอร์ทูอิน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยชะลอวัยให้แก่ผิวได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้กลับมามีประสิทธิภาพได้เช่นเดิม

3.ข้าวโอ๊ต
อย่างที่เราทราบกันดีว่าการทานข้าวโอ๊ตมีส่วนช่วยให้เรามีอายุยืนได้ถึง 9% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ทานข้าวโอ๊ต อีกทั้งข้าวโอ๊ตยังเป็นอาหารที่มีส่วนช่วยในการฟื้นฟูกล้ามเนื้อได้ดี เพราะจะช่วยเติมเต็มพลังงานที่เสียไปกับการออกกำลังกายนั่นเอง

4.เมล็ดเจีย
แร่ธาตุ แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก โปรตีน และกรดอะมิโนที่จำเป็น 9 ชนิด ที่อุดมอยู่ในเมล็ดเจียนั้น ล้วนเป็นสารที่มีส่วนช่วยในการฟื้นฟูกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกายเป็นอย่างดี ซึ่งการทานเมล็ดเจียสามารถนำมาทานคู่กับโยเกิร์ตหรือสมูทตี้ก็ได้ หรือจะทานเล่นคู่กับผลไม้สดก็น่าสนใจเช่นกัน

5.ปวยเล้ง
ในปวยเล้งอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบี และวิตามินซี ซึ่งการทานน้ำปวยเล้งในปริมาณ 1 แก้ว จะเทียบได้เท่ากับการเติมโปรตีนให้ร่างกายได้ถึง 5 กรัมเลยนั่นเอง อีกทั้งปวยเล้งยังมีสารอาหารที่จำเป็นต่อการช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อได้พร้อมกันอีกด้วย

6.ชาเขียว
สารสกัดจากชาเขียวอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและโพลีฟีนอล ซึ่งเป็นสารที่มีส่วนช่วยควบคุมความเสียหายที่เกิดจากการออกซิเดชั่นในระหว่างการออกกำลังกาย และการดื่มสารสกัดจากชาเขียวในปริมาณ 600 มิลลิกรัมนั้น ย่อมช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกายได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

How to จัดการตัวเองในวันที่ “ตื่นสาย” ไปทำงาน

วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

How to จัดการตัวเองในวันที่ “ตื่นสาย” ไปทำงาน

การนอนตื่นสาย เป็นเรื่องธรรมดาที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคน หากเป็นวันหยุดก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นวันทำงานแล้วล่ะก็…เป็นเรื่องใหญ่แน่นอน

ในเมื่อการนอนตื่นสายในวันทำงานเป็นเหตุสุดวิสัยที่คงไม่มีใครอยากให้เกิด เลยมีทริคเล็ก ๆ ในการจัดการตัวเองในวันที่คุณนอนตื่นสาย แต่ก็ต้องพยายามไปทำงานให้ทันมาฝากกัน



1. ตั้งสติก่อน
รู้อยู่ว่าการสะดุ้งเด้งสุดตัวจากเตียงราวกับฝันว่าตกตึก 7 ชั้น เพราะรู้ตัวว่าสายแล้วนั้นมันทำให้สติแตกขนาดไหน แต่การจะแก้ปัญหาภายใต้เวลาที่จำกัด สิ่งแรกที่ต้องมีคือ “สติ” เรียกสติตัวเอง แล้วพยายามจัดการความคิดตัวเองให้เร็วที่สุดว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง เพื่อให้สามารถทำทุกอย่างได้ทันเวลา

2. ประเมินเวลา
ในกรณีที่ตื่นสาย เวลาทุกอย่างจะรวนไปหมดแม้ว่าจะแค่ 5-10 นาทีก็ตาม ดังนั้น การประเมินเวลา ตั้งแต่การจัดการตัวเองไปจนถึงเวลาที่ใช้เดินทาง (อย่าลืมว่าเวลาที่ออกจากบ้านเกี่ยวข้องกับสภาพจราจร) จะทำให้เรารู้ว่ายังมีโอกาสที่จะไปทันหรือไม่ ถ้ายังพอมีเวลาก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้าไม่รอดแน่ ๆ จะได้เตรียมขั้นตอนต่อไป

3. ทำกิจวัตรทุกอย่างให้เสร็จโดยเร็ว
ถ้าเป็นกิจวัตรที่จำเป็นต้องทำจริง ๆ ก็ต้องเร่งสปีดแบบความเร็วแสง ยอมออกจากบ้านแบบไม่เพอร์เฟคสักวัน (แต่อย่าถึงขั้นหน้าไม่ล้างฟันไม่แปรง) เพื่อแลกกับการไม่ต้องถูกหักเงินมาสาย หักเบี้ยขยัน เข้าประชุมไม่ทัน ไปเจอลูกค้าช้า เพราะจะทำให้เสียความน่าเชื่อถือ และการไม่ตรงต่อเวลา


4. ยอมจ่ายแพงกว่า
การยอมจ่ายเงินค่าเดินทางที่แพงขึ้นเพื่อให้ไปได้ทันเวลา จากที่เคยโหนรถเมล์ชิล ๆ ก็ต้องเปลี่ยนไปใช้รถไฟฟ้า จากที่เคยเดินได้เรื่อย ๆ ก็ต้องพึ่งพี่วินมอเตอร์ไซค์แทน อันที่จริง การถูกหักเงินอาจไม่ใช่ปัญหาสำหรับใครบางคน แต่ปัญหาใหญ่ คือเรื่องของความน่าเชื่อถือ และการเป็นคนไม่รักษาเวลามากกว่า

5. โทรแจ้งเจ้านาย
ในกรณีที่ไม่ว่าจะทำด้วยวิธีไหนก็ไม่สามารถจะไปได้ทัน ไม่ทันแน่ ๆ ขั้นตอนสุดท้ายคือ ให้โทรแจ้งเจ้านายว่าเป็นเหตุสุดวิสัยจะไปถึงที่ทำงานสาย ถ้าเจ้านายไม่ถาม อาจไม่จำเป็นต้องบอกว่าสายเพราะตื่นสาย แต่อย่าโกหกด้วยเหตุผลอื่น มันจะบ่งบอกถึงคุณไม่มีความรับผิดชอบ

6. ตรวจสอบหาสาเหตุ
สิ่งที่ควรทำหลังจากนั้นคือตรวจสอบสาเหตุ ว่าที่ตื่นสายนี้เป็นเพราะอะไร เพราะนาฬิกาไม่ปลุก หรือปลุกแล้วไม่ได้ยิน หรือเราเหนื่อยเกินไปจนหลับลึกจนลุกไม่ไหว การตรวจหาสาเหตุก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก เพราะคงไม่ใช่เรื่องสนุกแน่ หากต้องวิ่งหน้าตาตื่นไปทำงานแบบนี้ทุกวัน

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ทำอย่างไร ให้มีความสุข ในการทำงาน

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

ทำอย่างไร ให้มีความสุข ในการทำงาน

วันนี้เรามาแชร์เทคนิค ทำอย่างไร ให้มีความสุข ในการทำงาน ที่เพื่อนๆสามารถทำได้เองโดยไม่ต้องพึ่งใคร ไปดูกันเลยว่าจะมีวิธีไหนบ้างนะคะ



1. ปัญหาส่วนตัวทิ้งไว้ที่บ้าน

เมื่อคุณมีเรื่องครุ่นคิดเกี่ยวกับครอบครัวหรือเรื่องส่วนตัวอื่น ๆ คุณจะไม่มีความสุขในการทำงานและไม่สามารถจดจ่อกับงานได้ เพราะฉะนั้น ควรทิ้งเรื่องส่วนตัวไว้ที่บ้านแล้วสนุกกับงานตรงหน้า ให้เหมือนกับทิ้งเรื่องงานไว้ที่ออฟฟิศและมีความสุขกับครอบครัวในวันหยุด แล้วคุณจะมีความสุขในทุก ๆ วันทำงานของคุณ

2.สร้างพื้นที่ผ่อนคลายส่วนตัว 

คุณใช้เวลาในที่ทำงานอย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อวัน มากกว่าเวลานอนเสียอีก แต่ก็ไม่ใช่ว่าในขณะที่คุณทำงานจะมีแต่ความตึงเครียดเท่านั้น คุณสามารถสร้างบรรยากาศผ่อนคลายได้ด้วยตัวเองง่าย ๆ เช่น ตกแต่งพื้นที่ส่วนตัวในที่ทำงานของคุณจัดโต๊ะทำงานให้รู้สึกสบายและผ่อนคลายที่สุดเท่าที่จะทำได้ และไม่ขัดต่อกฎระเบียบของบริษัท เพียงเท่านี้คุณก็มีอารมณ์ในการทำงานมากขึ้นแล้ว

3.เพื่อนคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ 

เพื่อนในที่ทำงานที่มีไลฟ์สไตล์หรือภูมิหลังคล้ายคลึงกับคุณช่วยแบ่งเบาความเครียดได้ไม่น้อยในยามที่คุณอยากระบายให้ใครสักคนฟัง แม้บางปัญหาเพื่อนแทบจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย แต่อย่างน้อยก็ยังมีคนที่เข้าใจ คอยรับฟังเรื่องราว และเป็นกำลังใจให้คุณเสมอ

4.กินดีสุขภาพดี 

กินอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่มากพอ ให้พลังงานแก่ร่างกาย เติมความสดชื่น และเพิ่มพลังความคิดในการทำงาน เมื่อสุขภาพดีก็ไม่เป็นอุปสรรคในการทำงาน เกิดความคิดดี ๆ ในการทำงาน ผลงานก็ออกมาดีตามไปด้วย

5.จัดระเบียบการทำงาน 

ควรจัดสรรเวลาในการทำงาน จัดระเบียบตัวเองให้ดี อย่าให้เกิดภาวะงานล้นมือ ทำไม่ทัน ก่อความเครียด และสุดท้ายผลงานออกมาไม่ดี ถ้าคุณสามารถควบคุมมันได้ คุณจะไม่รู้สึกเบื่องาน ทั้งยังมีความมั่นใจ และมีแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น

6.เคลื่อนไหว เดินไปมาบ้าง 

การนั่งทำงานในออฟฟิศของคนส่วนใหญ่คือการนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ร่างกายจึงต้องการการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ ไม่อย่างนั้นจะเคล็ด ขัด ยอก เมื่อย ปวดหลัง ปวดคอ บ่า ไหล่ เป็นโรคออฟฟิศซินโดรม ควรเปลี่ยนอิริยาบถให้เลือดลมเดินสะดวก ส่งเลือดขึ้นไปส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างทั่วถึงโดยเฉพาะสมอง

7.อย่าพยายามเปลี่ยนเพื่อนร่วมงาน 

จำไว้ว่าคุณไม่สามารถเปลี่ยนคนอื่นได้ แต่คุณสามารถเปลี่ยนวิธีการตอบสนองที่คุณมีต่อพวกเขาได้ อย่าให้การกระทำของคนอื่นมีผลต่อตัวคุณ ยังมีทางออกอื่นในการแก้ไขปัญหา การหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญกับสถานการณ์ที่จะทำให้คุณไม่สบายใจ จะช่วยให้จิตใจคุณแจ่มใสขึ้น

8.ให้รางวัลตัวเอง 

การให้รางวัลตัวเองเป็นความสุขที่สร้างได้ง่ายมาก เวลาที่คุณตั้งเป้าว่าจะต้องทำอะไรบางอย่างให้สำเร็จ และเมื่อคุณทำได้ตามนั้นจริง ๆ ก็ควรให้รางวัลตัวเองด้วย อาจจะไปดูหนัง ช้อปปิ้ง กินข้าวกับเพื่อน เข้าสปา หรืออะไรก็ตามที่คุณชอบ การเติมความสุขให้ชีวิตส่งผลต่ออารมณ์ที่ดีในการทำงาน

9.ความสุขในการทำงานมองโลกแง่บวก 

จริง ๆ แล้วสุขหรือทุกข์ล้วนอยู่ที่มุมมองของคุณ หากคุณมองสิ่งต่าง ๆ เป็นบวกชีวิตก็จะมีความสุขและสนุกกับงานได้ไม่ยาก บอกตัวเองว่า วันนี้ฉันจะตั้งใจทำงานที่ฉันรัก ย่อมสร้างกำลังใจได้ดีกว่าพูดว่า ทุกวันก็มีแต่งานเดิม ๆ ซ้ำ ๆ น่าเบื่อ ซึ่งจะทำให้คุณยิ่งเบื่องานของคุณมากกว่าเดิม

10.กล่าวคำทักทายตอนเช้า 

จะดีแค่ไหนถ้าคุณเริ่มต้นวันด้วยการกล่าวทักทายทุกคนที่ออฟฟิศด้วยรอยยิ้ม แล้วได้รับคำทักทายพร้อมรอยยิ้มกลับมาเช่นกัน เห็นไหมว่า ความสุขเกิดขึ้นได้แม้เพียงสิ่งเล็กน้อยเท่านี้เอง

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เราควรใช้เวลา "อาบน้ำ แปรงฟัน สระผม" นานแค่ไหน?

วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2563

เราควรใช้เวลา "อาบน้ำ แปรงฟัน สระผม" นานแค่ไหน?


เวลาที่เหมาะสมในการอาบน้ำ

กรมควบคุมโรคของสหรัฐฯ Centers for Disease Control and Prevention (CDC) ระบุว่า เวลาที่เหมาะสมที่สุดในการอาบน้ำจะอยู่ที่ 5-10 นาที การอาบน้ำเร็วกว่า 5 นาทีไม่ได้ส่งผลเสียอะไรต่อร่างกายมากนักหากแน่ใจว่าอาบน้ำสะอาด แต่จริงๆ แล้วเวลา 5 นาที

อาจเร็วไปสำหรับการตั้งใจถูกฟอกสบู่ หรือครีมอาบน้ำเพื่อการทำความสะอาดร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้า ดังนั้นอาจเสี่ยงอาบน้ำไม่สะอาด ดังนั้นหากอาบน้ำราว 5-10 นาที เป็นเวลาที่เหมาะสมในการทำความสะอาดร่างกายได้พอดีไม่เร็วหรือช้าเกินไป

หากอาบน้ำเกิน 10 นาที อาจส่งผลให้ผิวหนังของเราสูญเสียความชุมชื้นตามธรรมชาติจากการขัดถู หรือใช้สบู่/ครึมอาบน้ำบนผิวหนังนานเกินไป และหากใครที่มีปัญหาผื่นแพ้ที่ผิวหนัง แนะนำให้อาบน้ำด้วยน้ำอุ่น

หากรู้สึกว่าผิวแห้งตึงหลังอาบน้ำ ควรใช้โลชั่น หรือครีมทาผิวหลังอาบน้ำด้วย

เราสามารถอาบน้ำได้บ่อยเท่าที่เราต้องการ เพียงแต่การอาบน้ำบ่อยเกินไป หรือมากกว่า 4-5 ครั้งต่อวัน อาจทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นมากเกินไป และส่งผลให้ผิวแห้งได้เช่นกัน


เวลาที่เหมาะสมในการแปรงฟัน

แนะนำให้เราแปรงฟันนาน 2 นาที เพื่อให้เราใช้แปรงสีฟันในการขจัดเศษอาหาร และคราบพลัคบนผิวฟันได้อย่างทั่วถึง และสะอาดอย่างแท้จริง แต่คนส่วนใหญ่มักใช้เวลาในการแปรงฟันน้อยกว่า 2 นาที หรือเฉลี่ยอยู่ที่คนละ 45 วินาทีเท่านั้น และแนะนำให้แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น

แต่สามารถแปรงฟันทุกครั้งหลังมื้ออาหารได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงการแปรงฟันหลังรับประทานอาหารที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะนาว ส้ม ยำ ต้มยำ ฯลฯ เพราะกรดจากอาหารรสเปรี้ยวอาจเข้าไปทำลายผิวเคลือบฟัน และหากเราแปรงฟันในทันทีอาจเสี่ยงฟันกร่อน และเสี่ยงฟันผุในเวลาต่อมาได้


เวลาที่เหมาะสมในการสระผม

ช่างผมมืออาชีพของอเมริกาแนะนำว่า เราสามารถใช้เวลาสระผมได้นานเท่าที่เราต้องการ ให้แน่ใจว่าเราทำความสะอาดทั้งเส้นผม และหนังศีรษะได้อย่างเต็มที่ แต่แนะนำให้ใช้เวลามากกว่า 5 นาที โดยเฉพาะหากคุณมีผมยาว หรือผมหนา สามารถใช้เวลาให้นานมากขึ้นได้ และสามารถใช้แชมพูสระผมได้มากกว่า 1 ครั้ง

แต่ข้อแนะนำเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย คือ ควรเลือกแชมพูที่เหมาะกับสภาพเส้นผม และหนังศีรษะของเราให้มากที่สุด และไม่ใช้น้ำอุ่นจัดในการสระผม เพราะอาจทำร้ายสุขภาพเส้นผม และหนังศีรษะ ทำให้ผม และหนังศีรษะแห้งมากกว่าปกติ จนเป็นสาเหตุของรังแค หรืออาการคัน ระคายเคืองหนังศีรษะได้ รวมไปถึงใครที่มีปัญหาหนังศีรษะแห้ง ก็ไม่ควรสระผมบ่อยเกินไปเช่นกัน

เราสามารถสระผมบ่อยเท่าที่เราต้องการใน 1 สัปดาห์ แล้วแต่วิถีชีวิตของเราว่ามีเหงื่อออกมากจากการออกกำลังกาย สวมหมวก หนังศีรษะมันง่าย ผมหนา ฯลฯ แต่ที่แนะนำสำหรับคนที่ไม่มีปัญหาเรื่องหนังศีรษะจะอยู่ที่การสระผมวันเว้นวัน
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เป็นไหม อาการ ขาอยู่ไม่สุข โรคสร้างความรำคาญ

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2563

เป็นไหม อาการ ขาอยู่ไม่สุข โรคสร้างความรำคาญ

อาการขาอยู่ไม่สุขรู้สึกว่ามีอะไรมาไต่ที่ขา ขากระตุกหรือบางทีกระตุกที่แขน มักเกิดขึ้นเฉพาะเวลากลางคืน ทำให้ต้องขยับขา ลุกเดิน นอนไม่หลับ ทำให้คุณภาพการนอนแย่ลง ผู้ป่วยที่มีอาการดังกล่าวควรรีบมาพบแพทย์


สาเหตุของอาการขาอยู่ไม่สุข

นายแพทย์ธนินทร์ เวชชาภินันท์ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่า สาเหตุของอาการขาอยู่ไม่สุข เกิดจากสารเคมีที่สมองสร้างที่เรียกว่าโดพามีนมีปริมาณน้อยลง โดยอาจเป็นจากภาวะความเจ็บป่วยบางอย่าง 
เช่น โรคพาร์กินสัน หรือการได้รับยาที่ทำให้โดพามีนในร่างกายลดลง หรือระบบรักษาสมดุลของธาตุเหล็กในร่างกายผิดปกติ ผู้ป่วยควรมาพบแพทย์เพื่อประเมินอาการและสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ โดยจะได้รับการประเมินภาวะซีด ภาวะการขาดธาตุเหล็ก การทำงานของไต และระบบประสาท เพื่อหาสาเหตุก่อนเริ่มให้การรักษา 


การรักษาอาการขาอยู่ไม่สุข

ยาที่ใช้รักษาอาการขาอยู่ไม่สุข เพื่อเพิ่มสารโดพามีนในกระแสเลือด ลดอาการผิดปกติที่ขาและขากระตุก ดังนั้นผู้ป่วยควรหมั่นสังเกตอาการผิดปกติของตัวเองถึงแม้ว่า อาการขากระตุกหรือขาอยู่ไม่สุขดังกล่าว จะเป็นอาการที่ไม่อันตราย 
แต่จะทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตในการนอนลดลงทำให้นอนไม่หลับ จึงควรควบคุมอาการเพื่อให้คุณภาพชีวิตการนอนดีขึ้น หากผู้ป่วยมีอาการดังกล่าวควรรีบมาพบแพทย์ เพื่อรับการตรวจประเมินและพาคนใกล้ชิด มาพบแพทย์ด้วยเพื่อจะได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการรักษา
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เมนูไข่ ทานอย่างไร ให้ได้ประโยชน์สูงสุด

วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2563

เมนูไข่ ทานอย่างไร ให้ได้ประโยชน์สูงสุด


ไข่ขนาดใหญ่หนึ่งฟอง มีวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น 13 ชนิดและโปรตีนคุณภาพสูงทั้งหมด 70 แคลอรี่ สามารถมีบทบาทในการควบคุมน้ำหนัก ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การตั้งครรภ์ที่มีคุณภาพ การทำงานของสมอง สุขภาพของดวงตาและอื่นๆ อีกมากมาย

ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยไขมันในเลือดสูง และผู้สูงอายุ ต้องระวังเรื่องการบริโภคไข่เป็นพิเศษ และควรบริโภคไข่ 3-4 ฟองต่อสัปดาห์หรือบริโภคแค่ไข่ขาวเท่านั้น




ประโยชน์ของไข่ คนเรากินไข่ได้วันละกี่ฟอง

ไข่อาจมีปริมาณคลอเรสเตอรอลค่อนข้างสูง แต่ไม่มีผลกระทบต่อระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย ไข่เป็นแหล่งโปรตีนที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ มากมายรวมไปถึง

วิตามินเอ วิตามิน B และ B-12 วิตามินดี ไอโอดีน โฟเลต โอเมก้า – 3  อีกทั้ง “ไข่” ยังมีราคาไม่แพง หาซื้อง่าย และวิธีที่ดีที่สุดในการกินไข่คือการต้ม  การรับประทานไข่วันละหนึ่งถึงสามฟอง มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายอย่าง แต่จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล


การกินไข่ กับโรคเบาหวานชนิดที่ 2  

จากการศึกษาแบบสุ่มในผู้ที่มีภาวะ metabolic syndrome แสดงให้เห็นว่าผู้ที่บริโภคไข่ 3 ฟองต่อวัน ส่งผลให้มีความเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี ในเรื่องของ HDL-cholesterol, insulin sensitivity และอีกกรณีศึกษาเกี่ยวกับการลดน้ำหนักแบบควบคุมในผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้รับการวินิจฉัยพบว่า ไขมันและกลูโคสดีขึ้นหลังจากบริโภคไข่วันละ 2 ฟองเป็นเวลา 12 สัปดาห์ อาหารเช้าที่ทำจากไข่อุดมไปด้วยโปรตีน (พลังงาน 35%; โปรตีนไข่ 26.1 กรัม) จะช่วยส่งเสริมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2


การกินไข่ กับโรคอ้วน 

โรคอ้วนถือเป็นปัญหาสุขภาพที่เกิดได้จากหลายปัจจัยและซับซ้อน คำแนะนำในปัจจุบันสำหรับการควบคุมน้ำหนักคือการส่งเสริมการออกกำลังกายพร้อมกับการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ โดยรวมถึงธัญพืช ผลไม้ ผัก โปรตีน และ ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำหรือปราศจากไขมัน อีกทั้งบริโภคโปรตีนคุณภาพสูงจากไข่ที่ส่งผลต่อความอิ่ม ในขณะเดียวกันก็มีผลต่อการลดน้ำหนักด้วย

ในวัยผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกิน เปรียบเทียบระหว่างผู้ที่นิยมรับประทานเบเกิล และไข่เป็นอาหารเช้า แสดงให้เห็นว่าผู้ที่บริโภคไข่รู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีดัชนีมวลกายลดลง 61% และน้ำหนักลดลง 65% จากการทดลองเป็นระยะเวลา 3 เดือนในกลุ่มตัวอย่างที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ผู้ที่บริโภคไข่ 2 ฟองต่อวันเป็นเวลา 6 วันต่อสัปดาห์นั้นมีรายงานว่าความหิวนั้นลดลงและรู้สึกอิ่มเร็วมากขึ้นกว่าผู้ที่บริโภคไข่ น้อยกว่า 2 ฟองต่อสัปดาห์


กลุ่มคนที่ต้องระวังการบริโภคไข่

คนที่ต้องระวังเรื่องการบริโภคไข่เป็นพิเศษ และควรบริโภคไข่ 3-4 ฟองต่อสัปดาห์หรือบริโภคแค่ไข่ขาวเท่านั้น ได้แก่

- ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง

- ผู้สูงอายุ

ผู้ป่วยไขมันในเลือด

ไข่ มีประโยชน์ แต่ก็ควรเลือกกินให้ถูกโดยเฉพาะกรรมวิธีในการประกอบอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงการทอดด้วยน้ำมันเพราะอาจทำให้ระดับคอเลสตอรอลสูงได้ แทนที่จะได้ประโยชน์ กลับกลายเป็นเกิดโทษ จากการบริโภคไข่แทน
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2563

เคล็ดลับ กินอย่างไรไม่ให้อ้วน


1.ทานอาหารเช้าเป็นประจำเพราะมื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดและควรเป็นมื้อที่มีคุณค่าครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะนอกจากจะช่วยเติมพลังให้ร่างกายและสมองแล้ว ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดช่วยให้การเผาผลาญพลังงานดีขึ้น

2.การเลือกอาหารจากธรรมชาติไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์(มอลต์) ถั่ว ข้าวสาลี (โฮลวีต) เมล็ดทานตะวัน เป็นต้น ซึ่งอาหารเหล่านี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เป็นแหล่งรวมของแร่ธาตุ วิตามิน โปรตีนที่ปราศจากคอเลสเตอรอลและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน

มีสารแอนติออกซิแดนท์ ใยอาหารและปัจจัยอื่นช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยลดคอเลสเตอรอลและความดันโลหิตได้ หรืออาจเลือกอาหารที่มีส่วนผสมของธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ขนมปังโฮลวีต ซีเรียลจากมอลต์ เป็นต้น

3.เพิ่มผักผลไม้ในมื้ออาหารและทานเป็นประจำ เพื่อเพิ่มวิตามิน เกลือแร่และสารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ช่วยนำคอเลสเตอรอลและสารก่อมะเร็งบางชนิดออกจากร่างกาย ทำให้ลดการสะสมของสารก่อมะเร็งบางชนิด และมีกากใยช่วยในการขับถ่าย ช่วยให้กระบวนการต่างๆ ในร่างกายดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4.ลดขนมขบเคี้ยวและขนมอบ ที่มีแต่ไขมัน เกลือ น้ำตาลและสารปรุงแต่งอื่นๆ ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ หากอยากทานขนมอาจหันมาทานขนมที่มีส่วนผสมของธัญพืชเพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับขนมที่มีประโยชน์น้อย อย่างไรก็ตาม ควรทานในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น

5.กินปลา ไข่และเนื้อสัตว์ไม่ติดมันอาหารเหล่านี้เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ช่วยเสริมสร้างร่างกายในผู้เยาว์และซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสื่อมสลายในผู้สูงวัย เป็นส่วนประกอบของสารสร้างภูมิคุ้มกันโรคติดเชื้อ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคอ้วน ไขมันในเส้นเลือดสูง เป็นต้น


6.ดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพแทนน้ำหวาน น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีน้ำตาลสูง การดื่มน้ำผักผลไม้ก็เป็นทางเลือกที่ดีเพราะอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินและแร่ธาตุกว่า 50 ชนิด เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัน

7.ดื่มน้ำและนมให้เป็นนิสัย ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยระบบขับถ่ายและมีน้ำหล่อเลี้ยงในเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย และควรดื่มนมอย่างน้อยวันละ 1-2 แก้ว ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอุดมไปด้วยคุณค่าโภชนาการสูง ช่วยในการเจริญเติบโตของเด็กๆ

ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง โดยชนิดของนม ขึ้นอยู่กับวัย หากเป็นเด็กทีกำลังเจริญเติบโตควรเป็นนมจืดธรรมดา แต่ในผู้สูงอายุควรเป็นนมพร่องมันเนยเพื่อมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอล
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แนะนำ เคล็ดลับการทานอาหาร และออกกำลังกาย

วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ข้อเสียจากการ ใส่ยกทรงนอน

การสวมใส่เสื้อชั้นใน เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้หญิงทุกคน เพราะจะช่วยประคองเต้านมให้ได้รูป ไม่หย่อนยาน และที่สำคัญยังช่วยเสริมบุคลิกภาพสาวๆ ได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตาม การสวมใส่เสื้อชั้นในนอนก็เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะอะไรนั้น เราไปดูกันเลยค่ะ


1.รู้สึกกระสับกระส่าย นอนไม่หลับ

ช่วงเวลาของการนอนพักผ่อนย่อมเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของร่างกาย แต่การสวมใส่เสื้อชั้นในนอนอาจทำให้สาวๆ หลายคนรู้สึกอึดอัด อีกทั้งตะขอเสื้อชั้นในยังกดทับผิวหนัง ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวมากขึ้น ในขณะเดียวกัน เสื้อชั้นในแบบมีโครงยังอาจทิ่มผิวในบริเวณใต้เนื้อเยื่อเต้านม

และก่อให้เกิดรอยขีดข่วนหรือรอยแดงตามมา สาเหตุเหล่านี้จึงทำให้สาวๆ ไม่สบายตัวและนอนไม่หลับหรือหลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืนก็เป็นได้

2.เส้นเอ็นอ่อนแอ

การที่เราสวมใส่เสื้อชั้นในตลอดเวลาก็เพื่อรองรับเต้านมไม่ให้หย่อนยาน แต่กรณีที่สาวๆ ใส่เสื้อชั้นในนอนตลอดทั้งคืนก็อาจมีผลทำให้เส้นเอ็นที่คอยยึดน้ำหนักเต้านมนั้นไม่ได้ใช้งาน และทำให้เกิดความเสื่อมสภาพหรืออ่อนแอลงได้ในที่สุด

3.โรคมะเร็ง

หนังสือ “Dressed to Kill” ที่ได้รับการตีพิมพ์ขึ้นเมื่อปี 1995 ได้ระบุว่า เสื้อยกทรงจะสามารถยับยั้งการระบายน้ำเหลือง การเพิ่มอุณหภูมิของทรวงอกและระดับโปรแลคติน เพราะฉะนั้น ผู้หญิงจึงมีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งมากยิ่งขึ้น แม้จะมีข้อโต้แย้งว่า

ไม่เกี่ยวกับระดับฮอร์โมนที่มีความเกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งแต่อย่างใดก็ตาม หากในบางคนก็ยังเชื่อว่า การสวมใส่เสื้อชั้นในนั้นก็มีโอกาสทำให้เป็นมะเร็งได้ ซึ่งการสวมใส่เสื้อชั้นในอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้สูงมากยิ่งขึ้น

4.ซีสต์และเนื้องอก (ชนิดไม่อันตราย)

ซีสต์และเนื้องอก (ชนิดที่ไม่เป็นอันตราย) มักเป็นก้อนเนื้อเยื่อที่ไม่สามารถพัฒนาจนกลายไปสู่มะเร็งได้ แต่อย่างไรก็ตาม การสวมใส่เสื้อชั้นในที่มีความรัดแน่นเกินไปก็ย่อมทำให้เกิดการอักเสบ

และทำให้การระบายเป็นไปอย่างไม่เหมาะสม ที่สำคัญเนื้องอกชนิดดังกล่าวก็อาจพัฒนาต่อไปจนกลายไปเป็นมะเร็งได้ในที่สุด

5.เหงื่อออกมาก ทำให้รู้สึกคัน ไม่สบายตัว

การใส่เสื้อชั้นในนอน ด้วยความที่อึดอัด บวกกับวัสดุพิเศษและแผ่นรองเสริมของเสื้อชั้นใน มีส่วนระงับการไหลเวียนของอากาศที่ถ่ายเทรอบผิว จนทำให้ไม่มีอากาศไหลเวียนได้สะดวก ทำให้เกิดเหงื่อออกตามผิวหนังมากยิ่งขึ้น จนทำให้สาวๆ รู้สึกคันและไม่สบายตัว

ดังนั้น ทางที่ดี หากจำเป็นต้องใส่เสื้อชั้นในนอนจริงๆ แนะนำให้เลือกเนื้อผ้าชนิดที่สามารถระบายอากาศได้ดีอย่างผ้าฝ้าย เป็นต้น

และนี่ก็คือ ผลเสียจากการสวมใส่เสื้อชั้นในนอน สาวๆ คนไหนที่อยากสุขภาพดี ห่างไกลจากมะเร็ง และไม่อยากให้เกิดปัญหาต่างๆ ที่รบกวนการนอนหลับ จากนี้ก็พยายามหลีกเลี่ยงการใส่เสื้อชั้นในนอนบ้างก็นับว่าดีทีเดียว

วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563

อาการใหม่ “โควิด-19” วิธีสังเกตความผิดปกติของ “ผิวหนัง”

นอกจากมีไข้ ไอ จาม มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบแล้ว ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 (COVID-19) ยังอาจมีอาการที่ปรากฎทางผิวหนังด้วย

นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ในปัจจุบันทั่วโลกกำลังเผชิญกับวิกฤติโรคระบาดไวรัสโคโรนา หรือโรคโควิด-19 และในสื่อออนไลน์ประชาชนได้มีการแชร์ข้อมูล และมีประเด็นถกเถียงกันเกี่ยวกับความผิดปกติทางผิวหนัง เป็นอาการใหม่ของโรคโควิด-19 


วิธีสังเกตความผิดปกติของ “ผิวหนัง” เสี่ยง "โควิด-19"

จากข้อสงสัยดังกล่าว มีการเก็บข้อมูลผู้ป่วยโรคโควิด-19 จากต่างประเทศ เช่น อิตาลี สหรัฐอเมริกา และในประเทศไทยเอง พบว่าร้อยละ 20 ของผู้ป่วย จะมีความผิดปกติทางผิวหนังร่วมด้วย ได้แก่
  • มีผื่นแดง (คันบางราย)
  • มีจุดเลือดออก
  • ผื่นบวมแดงคล้ายโรคลมพิษ
  • กลุ่มของตุ่มน้ำคล้ายโรคอีสุกอีใส 
  • มีการอักเสบของผิวหนังที่เกิดจากการหด และขยายตัวของหลอดเลือด


โควิด-19 อาจทำให้มีอาการผื่นแดงที่ผิวหนัง

แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า โรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัส และการติดเชื้อไวรัสสามารถทำให้เกิดความผิดปกติทางผิวหนังได้ โดยในผู้ป่วย 100 คน จะพบผู้ป่วย 20 คน ที่มีผื่นผิดปกติทางผิวหนังด้วย โดยพบว่าในคนไข้โควิด-19 ที่มีอาการทางผิวหนังร้อยละ 40 จะมีอาการพร้อมๆ กับอาการไข้หรือไอ ตั้งแต่พบว่าป่วยเป็นโรคโควิด-19 และร้อยละ 60 จะมีความผิดปกติทางผิวหนังปรากฏในภายหลังแทงหวยออนไลน์
นอกจากนี้ ยังพบว่า ผู้ป่วยโควิด-19 ยังมีอาการทางผิวหนังจากสาเหตุอื่นๆ ได้ เช่น การแพ้ยาหรือการใช้ยาบางชนิดในการรักษาซึ่งอาจจะส่งผลให้ผิวหนังจะมีลักษณะคล้ำขึ้นได้ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม อาการแสดงทางผิวหนังไม่พบว่ามีความสัมพันธ์กับความรุนแรงของการติดเชื้อโควิด-19


หากพบผื่นแดง และอาการไข้ ไอ จาม เหนื่อยหอบ ควรพบแพทย์

ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง ให้คำแนะนำว่า หากประชาชนมีอาการผิดปกติทางผิวหนัง ร่วมกับอาการไข้ ไอ หรืออาการทางระบบหายใจอื่นๆ ควรรีบมาพบแพทย์ และในส่วนของแพทย์ผู้ทำการรักษา เมื่อพบผู้ป่วยที่มีไข้ ไอ มีผื่น ในระยะนี้ก็ให้ประเมินความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโคโรนาในการวินิจฉัยแยกโรคของผู้ป่วยรายนั้นๆ ไว้ด้วย
*ภาพใช้เพื่อประกอบบทความเท่านั้น ไม่ใช่อาการจริงของผู้ป่วยโควิด-19*

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2563

"เหนื่อยหอบ-แน่นหน้าอก" แบบไหนเป็น "โควิด-19" หรือ "โรคหัวใจ"


โรคเดียวที่พูดถึงกันไปทั่วโลกในขณะนี้ หนีไม่พ้นเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 (COVID-19) ซึ่งเกิดจากเชื้อ SARS Coronavirus -2 มาตั้งแต่ปลายปี 2562 โดยหนึ่งในอาการ หากติดเชื้อโควิด-19 คือ เหนื่อยหอบแน่นหน้าอก ซึ่งใกล้เคียงกับอาการของโรคหัวใจบางประเภท เรามาดูวิธีสังเกตอาการว่าจะแยกออกจากโรคหัวใจได้อย่างไร


"เหนื่อยหอบ-แน่นหน้าอก" อาการ "โควิด-19" หรือ "โรคหัวใจ"

นพ.ชาติทนง ยอดวุฒิ อายุรแพทย์หัวใจ รพ.หัวใจกรุงเทพ กล่าวว่า ทำความเข้าใจก่อนว่าอาการของการติดเชื้อโควิด-19 คือการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โดยจะมีอาการที่ทางเดินหายใจส่วนบนเป็นอันดับแรก เช่น คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ เจ็บคอ ร่วมกับอาการไข้ จนถึงไข้สูงหนาวสั่น ปวดเมื่อยตามตัว ปวดหัวปวดตามข้อ หลังจากนั้นอาการจะมีการเปลี่ยนแปลง และลุกลามไปจนถึงการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง คือ ปอด จุดนี้ที่จะทำให้คนไข้เริ่มมีอาการเหนื่อยเกิดภาวะเมตาบอลิซึมสูง ร่วมกับการติดเชื้อในปอด ทำให้ออกซิเจนในเลือดลดต่ำลง คนไข้จะหายใจหอบเหนื่อยหัวใจเต้นเร็ว ซึ่งจะมีความแตกต่างจากอาการเจ็บหน้าอกจากโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ คืออาการเริ่มต้นจะไม่มีอาการของไข้หวัดมาก่อน โดยมากอาการเจ็บหน้าอกจากเส้นเลือดตีบจะสัมพันธ์โดยตรงกับการออกแรง และออกกำลังกาย
ขณะที่อาการเหนื่อยจากภาวะหัวใจล้มเหลวหรือน้ำท่วมปอดนั้น หากเกิดขึ้นจากภาวะน้ำเกินจะไม่มีอาการเป็นไข้หวัดนำมาก่อน หรือร่วมด้วย แต่ลักษณะอาการของโรคหัวใจล้มเหลว หรือน้ำท่วมปอดนั้น จะเป็นตอนขณะที่นอนราบ และอาการจะมากขึ้นจนถึงนอนราบไม่ได้ นอนลงไปแล้วจะมีอาการไอ ต้องนอนหมอนสูงหลายใบ และหนักสุดคือ นั่งหลับ เพราะนอนราบไม่ได้
สิ่งสำคัญที่ควรระวังคือ คนที่เป็นโรคหัวใจอยู่ก่อนแล้ว หากติดเชื้อโควิด-19 จะไปกระตุ้นให้อาการของโรคหัวใจกำเริบจนแยกอาการได้ค่อนข้างยาก


อันตรายของผู้ป่วยโรคหัวใจ  เมื่อติดเชื้อเป็นโรคโควิด-19

กลุ่มดังต่อไปนี้ มีความเสี่ยงที่จะมีอาการหนักหากติดเชื้อโควิด-19 ได้แก่
  • อายุมากกว่า 65 ปี
  • มีโรคประจำตัว เช่น

    - โรคความดันโลหิตสูง

    - โรคปอดเรื้อรังเดิม

    - โรคเบาหวาน

    - โรคมะเร็ง

    - โรคไต

    - โรคตับแข็ง

    - โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องอยู่เดิม

    เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรคหัวใจหากติดเชื้อโควิด-19 อาการจะรุนแรง มีอัตราการเสียชีวิตได้สูงกว่าคนทั่วไป เพราะคนที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว จะมีอาการแสดงมากขึ้นหลังจากติดเชื้อโควิดคือโรคกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรงหรือล้มเหลว ถ้าได้รับเชื้อเข้าไปจะทำให้ระบบการทำงานของร่างกายเมตาบอลิซึมสูงขึ้น จนกระทั่งกระตุ้นให้โรคหัวใจล้มเหลวกำเริบ ติดเชื้อโควิดรุนแรง จนทำให้ไตวาย และไตไม่สามารถขับน้ำออกจากร่างกายได้ จนเป็นเหตุให้น้ำท่วมปอด ซึ่งทั้งสองภาวะนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุต้นๆ ที่ทำให้เสียชีวิตหรือภาวะแทรกซ้อนต่างๆจนต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลนานและทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ตามมามากมาย
ดังนั้นผู้ป่วยควรมีความระมัดระวังอย่างยิ่งในการดูแลตัวเองไม่ให้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยปฏิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดเนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนที่รักษาโรคได้โดยตรง การดูแลตัวเองจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ


ผู้ป่วยโรคหัวใจ ควรปฏิบัติตัวอย่างไร ในช่วงโควิด-19 ระบาด?

คำแนะนำที่ดีที่สุดและได้ผลที่สุดสำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจควรปฎิบัติคือ
  1. Social distancing ห่างจากคนอื่นอย่างน้อย 2 เมตร
  2. ใส่หน้ากากอนามัยหมั่นล้างมือให้สะอาดสม่ำเสมอ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์
  3. ล้างมือ กินร้อน ใช้ช้อนของเราไม่ปนกับใคร
  4. แยกของใช้ส่วนตัวทุกชนิด
  5. ไม่ไปในแหล่งระบาด แหล่งชุมชน หรือที่มีประกาศว่าพบผู้ติดเชื้อ
  6. ไม่ให้ผู้สูงอายุออกจากบ้าน
  7. ลูกหลานต้องไม่เอาเชื้อจากนอกบ้านไปติดผู้สูงอายุในบ้าน
  8. ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ และมีอาการหรือจำเป็นต้องเข้าโรงพยาบาล เพื่อรักษาหรือติดตามอาการในช่วงนี้ ควรจะปฏิบัติอย่างเคร่งครัด มีการตรวจคัดกรองโรคสวมหน้ากากอนามัย ไม่ควรมาพบแพทย์หรือเลี่ยงไม่มาปรึกษาแพทย์ถ้าอาการยังไม่สงบและยังมีอาการอยู่ และที่สำคัญไม่ควรขาดยา ถ้ามาโรงพยาบาลไม่ได้ควรเตรียมยาให้พอดีหรือใช้วิธีปรึกษาแพทย์ผ่านช่องทางอื่นเช่น การปรึกษาแพทย์ออนไลน์ เป็นต้น
สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ หากเกิดการติดเชื้อโควิด-19 อาจต้องสังเกตอาการของตนเองอย่างดี ตั้งแต่เริ่มต้น เช่น อาการที่คล้ายหวัดคัดจมูกน้ำมูกไหลไอเจ็บคอร่วมกับอาการไข้จนถึงไข้สูงหนาวสั่น ปวดเมื่อยตามตัวปวดหัว ปวดตามข้อควรจะต้องรีบติดต่อสถานพยาบาล และเตรียมพร้อมที่จะมาตรวจเพื่อรักษาอาการตั้งแต่เริ่มต้น หากปล่อยไว้นานอาจเป็นอันตรายได้

วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2563

เมนูสร้างภูมิคุ้มกัน เมนูของว่างง่ายๆที่มีติดบ้าน


เมนูสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วงเวลาที่ต้องนั่งทำงานที่บ้านแบบนี้ แล้วมีของว่างเติมพลังยามบ่ายที่มาพร้อมรสชาติที่ถูกปาก ไม่ทำร้ายหุ่น แถมยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายได้ รับรองว่าเป็นเมนูที่กินได้บ่อยไม่ต้องกลัวเบื่อ จะกินคนเดียว หรือ จะกินพร้อมหน้าทั้งครอบครัวก็ฟินได้ง่ายๆ แน่นอน
  • โยเกิร์ต มีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ ระบบย่อยอาหารได้ ต้องเลือกทานให้เหมาะสมกับวัยด้วย สำหรับผู้ใหญ่ควรเลือกโยเกิร์ตสูตรไขมันต่ำและมีน้ำตาลน้อย ส่วนเด็กที่น้ำหนักตัวไม่เกินเกณฑ์ อาจเลือกอิ่มอร่อยกับสูตรปกติหรือเลือกนมที่มีส่วนผสมของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์

  • วิตามินซี ถ้าหากทานเป็นประจำทุกวัน จะมีส่วนช่วยในการลดความรุนแรงและระยะเวลาของโรคหวัดได้ ที่สำคัญ ร่างกายยังอาศัยวิตามินซีในการสร้างคอลลาเจนเพื่อซ่อมแซมส่วนต่างๆ ให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้นด้วย และการกินฝรั่งไม่ปอกเปลือก 1 ผล จะได้วิตามินซีเทียบเท่ากับส้ม 20 ผล ซึ่งเป็นปริมาณที่มากเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน

  • ทูน่า เมนูของว่างที่คุณประโยชน์ล้นจาน ทูน่าจะมีโอเมก้า-3 ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อการทำงานของสมองและหัวใจแล้ว ยังอุดมไปด้วยโปรตีน ซึ่งมีส่วนสำคัญในการซ่อมแซมร่างกาย ใช้สร้างเซลล์ภูมิคุ้มกันต่างๆ เพื่อไม่ให้ติดเชื้อง่าย และยังมีธาตุเหล็กที่ช่วยในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงอีกด้วย

  • อัลมอนด์ เห็นเม็ดเล็กๆ แต่คุณค่าทางสารอาหารกลับไม่จิ๊บตาม เพราะอัลมอนด์อัดแน่นไปด้วยวิตามินอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องร่างกายจากการติดเชื้อต่างๆ อุดมไปด้วยคุณค่าของสังกะสี ช่วยเพิ่มพลังงานให้ตื่นตัวตลอดวัน รวมทั้ง ไฟเบอร์ แมงกานีส แมกนีเซียม โครเมียม และยังมีกรดไขมันดี เช่น กรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้
เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย แต่ต้องไม่ลืมการกินอาหารให้มีความหลากหลาย ครบ 5 หมู่ในปริมาณที่พอเหมาะ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และทำอารมณ์ให้แจ่มใส ไม่เครียด เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การมีสุขภาพที่แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจด้วย