วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2563

เราควรใช้เวลา "อาบน้ำ แปรงฟัน สระผม" นานแค่ไหน?


เวลาที่เหมาะสมในการอาบน้ำ

กรมควบคุมโรคของสหรัฐฯ Centers for Disease Control and Prevention (CDC) ระบุว่า เวลาที่เหมาะสมที่สุดในการอาบน้ำจะอยู่ที่ 5-10 นาที การอาบน้ำเร็วกว่า 5 นาทีไม่ได้ส่งผลเสียอะไรต่อร่างกายมากนักหากแน่ใจว่าอาบน้ำสะอาด แต่จริงๆ แล้วเวลา 5 นาที

อาจเร็วไปสำหรับการตั้งใจถูกฟอกสบู่ หรือครีมอาบน้ำเพื่อการทำความสะอาดร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้า ดังนั้นอาจเสี่ยงอาบน้ำไม่สะอาด ดังนั้นหากอาบน้ำราว 5-10 นาที เป็นเวลาที่เหมาะสมในการทำความสะอาดร่างกายได้พอดีไม่เร็วหรือช้าเกินไป

หากอาบน้ำเกิน 10 นาที อาจส่งผลให้ผิวหนังของเราสูญเสียความชุมชื้นตามธรรมชาติจากการขัดถู หรือใช้สบู่/ครึมอาบน้ำบนผิวหนังนานเกินไป และหากใครที่มีปัญหาผื่นแพ้ที่ผิวหนัง แนะนำให้อาบน้ำด้วยน้ำอุ่น

หากรู้สึกว่าผิวแห้งตึงหลังอาบน้ำ ควรใช้โลชั่น หรือครีมทาผิวหลังอาบน้ำด้วย

เราสามารถอาบน้ำได้บ่อยเท่าที่เราต้องการ เพียงแต่การอาบน้ำบ่อยเกินไป หรือมากกว่า 4-5 ครั้งต่อวัน อาจทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นมากเกินไป และส่งผลให้ผิวแห้งได้เช่นกัน


เวลาที่เหมาะสมในการแปรงฟัน

แนะนำให้เราแปรงฟันนาน 2 นาที เพื่อให้เราใช้แปรงสีฟันในการขจัดเศษอาหาร และคราบพลัคบนผิวฟันได้อย่างทั่วถึง และสะอาดอย่างแท้จริง แต่คนส่วนใหญ่มักใช้เวลาในการแปรงฟันน้อยกว่า 2 นาที หรือเฉลี่ยอยู่ที่คนละ 45 วินาทีเท่านั้น และแนะนำให้แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น

แต่สามารถแปรงฟันทุกครั้งหลังมื้ออาหารได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงการแปรงฟันหลังรับประทานอาหารที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะนาว ส้ม ยำ ต้มยำ ฯลฯ เพราะกรดจากอาหารรสเปรี้ยวอาจเข้าไปทำลายผิวเคลือบฟัน และหากเราแปรงฟันในทันทีอาจเสี่ยงฟันกร่อน และเสี่ยงฟันผุในเวลาต่อมาได้


เวลาที่เหมาะสมในการสระผม

ช่างผมมืออาชีพของอเมริกาแนะนำว่า เราสามารถใช้เวลาสระผมได้นานเท่าที่เราต้องการ ให้แน่ใจว่าเราทำความสะอาดทั้งเส้นผม และหนังศีรษะได้อย่างเต็มที่ แต่แนะนำให้ใช้เวลามากกว่า 5 นาที โดยเฉพาะหากคุณมีผมยาว หรือผมหนา สามารถใช้เวลาให้นานมากขึ้นได้ และสามารถใช้แชมพูสระผมได้มากกว่า 1 ครั้ง

แต่ข้อแนะนำเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย คือ ควรเลือกแชมพูที่เหมาะกับสภาพเส้นผม และหนังศีรษะของเราให้มากที่สุด และไม่ใช้น้ำอุ่นจัดในการสระผม เพราะอาจทำร้ายสุขภาพเส้นผม และหนังศีรษะ ทำให้ผม และหนังศีรษะแห้งมากกว่าปกติ จนเป็นสาเหตุของรังแค หรืออาการคัน ระคายเคืองหนังศีรษะได้ รวมไปถึงใครที่มีปัญหาหนังศีรษะแห้ง ก็ไม่ควรสระผมบ่อยเกินไปเช่นกัน

เราสามารถสระผมบ่อยเท่าที่เราต้องการใน 1 สัปดาห์ แล้วแต่วิถีชีวิตของเราว่ามีเหงื่อออกมากจากการออกกำลังกาย สวมหมวก หนังศีรษะมันง่าย ผมหนา ฯลฯ แต่ที่แนะนำสำหรับคนที่ไม่มีปัญหาเรื่องหนังศีรษะจะอยู่ที่การสระผมวันเว้นวัน
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เป็นไหม อาการ ขาอยู่ไม่สุข โรคสร้างความรำคาญ

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2563

เป็นไหม อาการ ขาอยู่ไม่สุข โรคสร้างความรำคาญ

อาการขาอยู่ไม่สุขรู้สึกว่ามีอะไรมาไต่ที่ขา ขากระตุกหรือบางทีกระตุกที่แขน มักเกิดขึ้นเฉพาะเวลากลางคืน ทำให้ต้องขยับขา ลุกเดิน นอนไม่หลับ ทำให้คุณภาพการนอนแย่ลง ผู้ป่วยที่มีอาการดังกล่าวควรรีบมาพบแพทย์


สาเหตุของอาการขาอยู่ไม่สุข

นายแพทย์ธนินทร์ เวชชาภินันท์ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่า สาเหตุของอาการขาอยู่ไม่สุข เกิดจากสารเคมีที่สมองสร้างที่เรียกว่าโดพามีนมีปริมาณน้อยลง โดยอาจเป็นจากภาวะความเจ็บป่วยบางอย่าง 
เช่น โรคพาร์กินสัน หรือการได้รับยาที่ทำให้โดพามีนในร่างกายลดลง หรือระบบรักษาสมดุลของธาตุเหล็กในร่างกายผิดปกติ ผู้ป่วยควรมาพบแพทย์เพื่อประเมินอาการและสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ โดยจะได้รับการประเมินภาวะซีด ภาวะการขาดธาตุเหล็ก การทำงานของไต และระบบประสาท เพื่อหาสาเหตุก่อนเริ่มให้การรักษา 


การรักษาอาการขาอยู่ไม่สุข

ยาที่ใช้รักษาอาการขาอยู่ไม่สุข เพื่อเพิ่มสารโดพามีนในกระแสเลือด ลดอาการผิดปกติที่ขาและขากระตุก ดังนั้นผู้ป่วยควรหมั่นสังเกตอาการผิดปกติของตัวเองถึงแม้ว่า อาการขากระตุกหรือขาอยู่ไม่สุขดังกล่าว จะเป็นอาการที่ไม่อันตราย 
แต่จะทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตในการนอนลดลงทำให้นอนไม่หลับ จึงควรควบคุมอาการเพื่อให้คุณภาพชีวิตการนอนดีขึ้น หากผู้ป่วยมีอาการดังกล่าวควรรีบมาพบแพทย์ เพื่อรับการตรวจประเมินและพาคนใกล้ชิด มาพบแพทย์ด้วยเพื่อจะได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการรักษา
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เมนูไข่ ทานอย่างไร ให้ได้ประโยชน์สูงสุด

วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2563

เมนูไข่ ทานอย่างไร ให้ได้ประโยชน์สูงสุด


ไข่ขนาดใหญ่หนึ่งฟอง มีวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น 13 ชนิดและโปรตีนคุณภาพสูงทั้งหมด 70 แคลอรี่ สามารถมีบทบาทในการควบคุมน้ำหนัก ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การตั้งครรภ์ที่มีคุณภาพ การทำงานของสมอง สุขภาพของดวงตาและอื่นๆ อีกมากมาย

ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยไขมันในเลือดสูง และผู้สูงอายุ ต้องระวังเรื่องการบริโภคไข่เป็นพิเศษ และควรบริโภคไข่ 3-4 ฟองต่อสัปดาห์หรือบริโภคแค่ไข่ขาวเท่านั้น




ประโยชน์ของไข่ คนเรากินไข่ได้วันละกี่ฟอง

ไข่อาจมีปริมาณคลอเรสเตอรอลค่อนข้างสูง แต่ไม่มีผลกระทบต่อระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย ไข่เป็นแหล่งโปรตีนที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ มากมายรวมไปถึง

วิตามินเอ วิตามิน B และ B-12 วิตามินดี ไอโอดีน โฟเลต โอเมก้า – 3  อีกทั้ง “ไข่” ยังมีราคาไม่แพง หาซื้อง่าย และวิธีที่ดีที่สุดในการกินไข่คือการต้ม  การรับประทานไข่วันละหนึ่งถึงสามฟอง มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายอย่าง แต่จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล


การกินไข่ กับโรคเบาหวานชนิดที่ 2  

จากการศึกษาแบบสุ่มในผู้ที่มีภาวะ metabolic syndrome แสดงให้เห็นว่าผู้ที่บริโภคไข่ 3 ฟองต่อวัน ส่งผลให้มีความเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี ในเรื่องของ HDL-cholesterol, insulin sensitivity และอีกกรณีศึกษาเกี่ยวกับการลดน้ำหนักแบบควบคุมในผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้รับการวินิจฉัยพบว่า ไขมันและกลูโคสดีขึ้นหลังจากบริโภคไข่วันละ 2 ฟองเป็นเวลา 12 สัปดาห์ อาหารเช้าที่ทำจากไข่อุดมไปด้วยโปรตีน (พลังงาน 35%; โปรตีนไข่ 26.1 กรัม) จะช่วยส่งเสริมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2


การกินไข่ กับโรคอ้วน 

โรคอ้วนถือเป็นปัญหาสุขภาพที่เกิดได้จากหลายปัจจัยและซับซ้อน คำแนะนำในปัจจุบันสำหรับการควบคุมน้ำหนักคือการส่งเสริมการออกกำลังกายพร้อมกับการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ โดยรวมถึงธัญพืช ผลไม้ ผัก โปรตีน และ ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำหรือปราศจากไขมัน อีกทั้งบริโภคโปรตีนคุณภาพสูงจากไข่ที่ส่งผลต่อความอิ่ม ในขณะเดียวกันก็มีผลต่อการลดน้ำหนักด้วย

ในวัยผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกิน เปรียบเทียบระหว่างผู้ที่นิยมรับประทานเบเกิล และไข่เป็นอาหารเช้า แสดงให้เห็นว่าผู้ที่บริโภคไข่รู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีดัชนีมวลกายลดลง 61% และน้ำหนักลดลง 65% จากการทดลองเป็นระยะเวลา 3 เดือนในกลุ่มตัวอย่างที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ผู้ที่บริโภคไข่ 2 ฟองต่อวันเป็นเวลา 6 วันต่อสัปดาห์นั้นมีรายงานว่าความหิวนั้นลดลงและรู้สึกอิ่มเร็วมากขึ้นกว่าผู้ที่บริโภคไข่ น้อยกว่า 2 ฟองต่อสัปดาห์


กลุ่มคนที่ต้องระวังการบริโภคไข่

คนที่ต้องระวังเรื่องการบริโภคไข่เป็นพิเศษ และควรบริโภคไข่ 3-4 ฟองต่อสัปดาห์หรือบริโภคแค่ไข่ขาวเท่านั้น ได้แก่

- ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง

- ผู้สูงอายุ

ผู้ป่วยไขมันในเลือด

ไข่ มีประโยชน์ แต่ก็ควรเลือกกินให้ถูกโดยเฉพาะกรรมวิธีในการประกอบอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงการทอดด้วยน้ำมันเพราะอาจทำให้ระดับคอเลสตอรอลสูงได้ แทนที่จะได้ประโยชน์ กลับกลายเป็นเกิดโทษ จากการบริโภคไข่แทน
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2563

เคล็ดลับ กินอย่างไรไม่ให้อ้วน


1.ทานอาหารเช้าเป็นประจำเพราะมื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดและควรเป็นมื้อที่มีคุณค่าครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะนอกจากจะช่วยเติมพลังให้ร่างกายและสมองแล้ว ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดช่วยให้การเผาผลาญพลังงานดีขึ้น

2.การเลือกอาหารจากธรรมชาติไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์(มอลต์) ถั่ว ข้าวสาลี (โฮลวีต) เมล็ดทานตะวัน เป็นต้น ซึ่งอาหารเหล่านี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เป็นแหล่งรวมของแร่ธาตุ วิตามิน โปรตีนที่ปราศจากคอเลสเตอรอลและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน

มีสารแอนติออกซิแดนท์ ใยอาหารและปัจจัยอื่นช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยลดคอเลสเตอรอลและความดันโลหิตได้ หรืออาจเลือกอาหารที่มีส่วนผสมของธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ขนมปังโฮลวีต ซีเรียลจากมอลต์ เป็นต้น

3.เพิ่มผักผลไม้ในมื้ออาหารและทานเป็นประจำ เพื่อเพิ่มวิตามิน เกลือแร่และสารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ช่วยนำคอเลสเตอรอลและสารก่อมะเร็งบางชนิดออกจากร่างกาย ทำให้ลดการสะสมของสารก่อมะเร็งบางชนิด และมีกากใยช่วยในการขับถ่าย ช่วยให้กระบวนการต่างๆ ในร่างกายดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4.ลดขนมขบเคี้ยวและขนมอบ ที่มีแต่ไขมัน เกลือ น้ำตาลและสารปรุงแต่งอื่นๆ ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ หากอยากทานขนมอาจหันมาทานขนมที่มีส่วนผสมของธัญพืชเพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับขนมที่มีประโยชน์น้อย อย่างไรก็ตาม ควรทานในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น

5.กินปลา ไข่และเนื้อสัตว์ไม่ติดมันอาหารเหล่านี้เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ช่วยเสริมสร้างร่างกายในผู้เยาว์และซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสื่อมสลายในผู้สูงวัย เป็นส่วนประกอบของสารสร้างภูมิคุ้มกันโรคติดเชื้อ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคอ้วน ไขมันในเส้นเลือดสูง เป็นต้น


6.ดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพแทนน้ำหวาน น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีน้ำตาลสูง การดื่มน้ำผักผลไม้ก็เป็นทางเลือกที่ดีเพราะอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินและแร่ธาตุกว่า 50 ชนิด เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัน

7.ดื่มน้ำและนมให้เป็นนิสัย ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยระบบขับถ่ายและมีน้ำหล่อเลี้ยงในเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย และควรดื่มนมอย่างน้อยวันละ 1-2 แก้ว ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอุดมไปด้วยคุณค่าโภชนาการสูง ช่วยในการเจริญเติบโตของเด็กๆ

ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง โดยชนิดของนม ขึ้นอยู่กับวัย หากเป็นเด็กทีกำลังเจริญเติบโตควรเป็นนมจืดธรรมดา แต่ในผู้สูงอายุควรเป็นนมพร่องมันเนยเพื่อมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอล
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แนะนำ เคล็ดลับการทานอาหาร และออกกำลังกาย

วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ข้อเสียจากการ ใส่ยกทรงนอน

การสวมใส่เสื้อชั้นใน เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้หญิงทุกคน เพราะจะช่วยประคองเต้านมให้ได้รูป ไม่หย่อนยาน และที่สำคัญยังช่วยเสริมบุคลิกภาพสาวๆ ได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตาม การสวมใส่เสื้อชั้นในนอนก็เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะอะไรนั้น เราไปดูกันเลยค่ะ


1.รู้สึกกระสับกระส่าย นอนไม่หลับ

ช่วงเวลาของการนอนพักผ่อนย่อมเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของร่างกาย แต่การสวมใส่เสื้อชั้นในนอนอาจทำให้สาวๆ หลายคนรู้สึกอึดอัด อีกทั้งตะขอเสื้อชั้นในยังกดทับผิวหนัง ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวมากขึ้น ในขณะเดียวกัน เสื้อชั้นในแบบมีโครงยังอาจทิ่มผิวในบริเวณใต้เนื้อเยื่อเต้านม

และก่อให้เกิดรอยขีดข่วนหรือรอยแดงตามมา สาเหตุเหล่านี้จึงทำให้สาวๆ ไม่สบายตัวและนอนไม่หลับหรือหลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืนก็เป็นได้

2.เส้นเอ็นอ่อนแอ

การที่เราสวมใส่เสื้อชั้นในตลอดเวลาก็เพื่อรองรับเต้านมไม่ให้หย่อนยาน แต่กรณีที่สาวๆ ใส่เสื้อชั้นในนอนตลอดทั้งคืนก็อาจมีผลทำให้เส้นเอ็นที่คอยยึดน้ำหนักเต้านมนั้นไม่ได้ใช้งาน และทำให้เกิดความเสื่อมสภาพหรืออ่อนแอลงได้ในที่สุด

3.โรคมะเร็ง

หนังสือ “Dressed to Kill” ที่ได้รับการตีพิมพ์ขึ้นเมื่อปี 1995 ได้ระบุว่า เสื้อยกทรงจะสามารถยับยั้งการระบายน้ำเหลือง การเพิ่มอุณหภูมิของทรวงอกและระดับโปรแลคติน เพราะฉะนั้น ผู้หญิงจึงมีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งมากยิ่งขึ้น แม้จะมีข้อโต้แย้งว่า

ไม่เกี่ยวกับระดับฮอร์โมนที่มีความเกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งแต่อย่างใดก็ตาม หากในบางคนก็ยังเชื่อว่า การสวมใส่เสื้อชั้นในนั้นก็มีโอกาสทำให้เป็นมะเร็งได้ ซึ่งการสวมใส่เสื้อชั้นในอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้สูงมากยิ่งขึ้น

4.ซีสต์และเนื้องอก (ชนิดไม่อันตราย)

ซีสต์และเนื้องอก (ชนิดที่ไม่เป็นอันตราย) มักเป็นก้อนเนื้อเยื่อที่ไม่สามารถพัฒนาจนกลายไปสู่มะเร็งได้ แต่อย่างไรก็ตาม การสวมใส่เสื้อชั้นในที่มีความรัดแน่นเกินไปก็ย่อมทำให้เกิดการอักเสบ

และทำให้การระบายเป็นไปอย่างไม่เหมาะสม ที่สำคัญเนื้องอกชนิดดังกล่าวก็อาจพัฒนาต่อไปจนกลายไปเป็นมะเร็งได้ในที่สุด

5.เหงื่อออกมาก ทำให้รู้สึกคัน ไม่สบายตัว

การใส่เสื้อชั้นในนอน ด้วยความที่อึดอัด บวกกับวัสดุพิเศษและแผ่นรองเสริมของเสื้อชั้นใน มีส่วนระงับการไหลเวียนของอากาศที่ถ่ายเทรอบผิว จนทำให้ไม่มีอากาศไหลเวียนได้สะดวก ทำให้เกิดเหงื่อออกตามผิวหนังมากยิ่งขึ้น จนทำให้สาวๆ รู้สึกคันและไม่สบายตัว

ดังนั้น ทางที่ดี หากจำเป็นต้องใส่เสื้อชั้นในนอนจริงๆ แนะนำให้เลือกเนื้อผ้าชนิดที่สามารถระบายอากาศได้ดีอย่างผ้าฝ้าย เป็นต้น

และนี่ก็คือ ผลเสียจากการสวมใส่เสื้อชั้นในนอน สาวๆ คนไหนที่อยากสุขภาพดี ห่างไกลจากมะเร็ง และไม่อยากให้เกิดปัญหาต่างๆ ที่รบกวนการนอนหลับ จากนี้ก็พยายามหลีกเลี่ยงการใส่เสื้อชั้นในนอนบ้างก็นับว่าดีทีเดียว